Thallium เป็นสารที่จัดว่ามีความเป็นพิษสูงที่สุดตัวหนึ่ง thallium เป็นสารที่ไม่มีรสหรือกลิ่น เกลือของ thallium มีการนำมาใช้ในลักษณะของยาฆ่าหนู มักผลิตเป็นรูปคล้ายข้าวสารสีบานเย็นหรืออัดมาเป็นเม็ด
..ในอดีตเคยใช้เป็นยาทาให้ขนร่วงแต่เนื่องจากมีความเป็นพิษสูงจึงถูกห้ามใช้ ภาวะเป็นพิษจาก thallium เกิดอาการคล้ายกับภาวะพร่อง potassium นอกจากนั้น thallium ยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ที่มี glutathione เหมือนโลหะหนักอื่นๆ เช่น ตะกั่ว Thallium สามารถถูกดูดซึมได้ดีทั้งทางระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และ ผิวหนัง
..ขนาดที่ทำให้เกิดเป็นพิษคือ 12-15 mg/kg ในผู้ใหญ่ หรือ8 mg/kg ในเด็ก มีค่า elimination half life 8-30 วัน
Thallium แม้กินเข้าไปแต่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้เกิดอาการในหลายระยะของโรค ..ระยะเฉียบพลัน มักจะเกิดใน 3-4 ชั่วโมงแรก จะมีอาการของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาเจียน ปวดท้อง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร และเกิดภาวะช๊อคได้ ประมาณ 12 ชั่วโมงต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบที่ปลายมือและเท้าที่รุนแรงมาก..
ลักษณะที่สำคัญ อาการของระบบประสาทส่วนกลางเช่น ระดับความรู้สึกตัวที่เปลี่ยนไปจนถึงหมดสติ ชัก coma ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ป่วยในระยะแรก บางรายมีอาการจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองโดยเฉพาะเส้นประสาทสมองที่ 2 (optic narritis) ผู้ป่วยบางรายมีหัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตไม่คงที่จากการที่มีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ..
ภาวะพร่อง potassium และการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ ในช่วงสัปดาห์แรก ผู้ป่วยที่ไม่รุนแรงอาจจะมาหาแพทย์ด้วยอาการของปวดท้องแบบ colicky pain เป็นพักๆ จนถึงภาวะลำไส้ไม่เคลื่อนตัวเหมือนในภาวะเป็นพิษจากตะกั่ว ผิวหนังอาจจะมีผื่นมีสะเก็ดบริเวณหนังศีรษะ คิ้ว และรอบปาก หรือเป็นตุ่มหนองบริเวณแก้มและร่องจมูก บางรายอาจจะมีผื่นที่หน้า ปวดตามข้อคล้ายผู้ป่วย SLE ได้ ระยะเรื้อรัง ในสัปดาห์ที่ 2 ผู้ป่วยเริ่มมีผมร่วงเป็นลักษณะเดิมของโรคนี้ ร่วมกับเห็นรอยคาดขาว (Mee’s lines) ที่เล็บ และอาจจะเห็นลักษณะผิวหนังแห้งเป็นสะเก็ด หรือเป็นปากนกกระจอก ผู้ที่มีอาการสมองจากในช่วงแรกจะเริ่มดีขึ้นอย่างช้าๆ ในเวลาเป็นเดือน และอาจจะมีความผิดปกติ ปรากฎเหลืออยู่ได้
การวินิจฉัย จากอาการที่เข้าได้มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร ปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง เป็นอาการที่ให้ต้องคำนึงถึงโรคนี้เสมอ แม้ไม่ได้ประวัติการสัมผัสกับ thallium ก็ตาม..
ในสัปดาห์ที่ 2 อาการผมร่วง และมี Mee’s line เป็นตัวช่วยการวินิจฉัย ระดับ thallium ในปัสสาวะถือว่ามีความจำเพาะปกติ มีความเข้มข้นไม่เกิน 1.5 ug/l แต่จะตรวจพบเฉพาะในช่วงแรกเท่านั้น electrolyte อาจจะพบภาวะ metabolic alkalosis with hypokalemia
การรักษา
1. การรักษาแบบประคับประคอง – ระวังและรักษาภาวะชัก และหมดสติ (coma) ตลอดจนภาวะแทรกซ้อน – แก้ภาวะช็อค ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเสียสารน้ำ หรือเลือดจากระบบทางเดิน อาหาร – ระวังภาวะพร่อง potassium 2. การรักษาที่จำเพาะ 1. Prussian blud (ferric ferrocyanide) พิสูจน์ว่าช่วยเร่งการกำจัดสารออกจากร่างกาย สามารถใช้ได้ไม่ว่าผู้ป่วยได้รับสารพิษเข้าไปโดยวิธีใดก็ตาม และมีประโยชน์ทั้งในระยะเฉียบพลันหรือ subacute ขนาดที่ให้คือ 500 mg (1 capsule) ทางปากทุก 12 ชั่วโมง กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงสามารถเพิ่มขนาดได้ถึง 250 mg/kg/day หรือ 10 g ทุก 12 ชั่วโมง ถ้าผู้ป่วยมาพบแพทย์หลังจากได้รับ thallium ใหม่ๆ การให้ครั้งแรก 3 g (6 capsule) ทางปากทันที เชื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วย
2. การเร่งการปัสสาวะร่วมกับการใช้ potassium, BAL, EDTA ไม่มีรายงานว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา และอาจจะมีอาการเลวลงในช่วงแรกของการให้การรักษาได้ Arsenics
นอกจากนี้แล้ว ยังมีตัวยาอีกหลายชนิดที่นำมาทำยาเบื่อหนู..และมีอันตรายต่อมนุษย์ เช่น Cholecalciferol..